ชาเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่มีผู้นิยมมากอันดับ 2 รองจากน้ำดื่ม เพราะเป็นผลผลิตจากธรรมชาติจากใบชา ตูมชา ยอดอ่อน และก้านของต้นชา โดยผ่านกรรมวิธีแปรรูปหลากหลาย จนกลายเป็นชาต่างๆ แล้วนำมาชงหรือต้มกับน้ำร้อน ด้วยกลิ่นหอมกรุ่น รสชาติชื่นใจ จึงทำให้ได้รับความนิยมจากผู้คนมากมาย

“ชา” เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับการเล่าขานมายาวนาน ตั้งแต่เมื่อประมาณ 2,737 ปีก่อนคริสต์ศักราช วันหนึ่งในขณะที่ฮ่องเต้เสินหนงกำลังเสวยน้ำร้อนในถ้วยหนึ่งอยู่นั้น ก็ได้มีใบไม้จากต้นไม้แถวนั้น บังเอิญร่วงลงในถ้วยน้ำร้อนของฮ่องเต้ ทำให้สีของน้ำร้อนในถ้วยเปลี่ยนไป แต่ฮ่องเต้ก็ยังคงเสวยน้ำในถ้วยแก้วนั้นต่อไป โดยไม่ทันได้สังเกตว่ามีใบไม้ร่วงลงไป ด้วยรสชาติที่หอมอ่อนๆ ดื่มแล้วสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ฮ่องเต้ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

ในบทประพันธ์เรื่อง “ฉางจิน” ประพันธ์โดย “ลูอวี่” ได้มีการกล่าวถึงตำนานใบชาไว้ว่า “ฮ่องเต้เสิ่นหนงได้เคี้ยวพืชต่างๆ เพื่อทดสอบหาสรรพคุณของสมุนไพร ต่อมาฮ่องเต้เสิ่นหนงก็ได้ใช้ใบชาเป็นเครื่องดื่มช่วยในการถอนพิษด้วยเช่นกัน

ประวัติความเป็นมาของชา ทำให้ได้ทราบว่าชาวจีนรู้จักการบริโภคชามาแล้วกว่าพันปี ชาวบ้านในสมัยราชวงค์ฮั่นใช้ชาเป็นยารักษาโรคต่างๆ อีกด้วย ชาวจีนจึงนับว่าเป็นประเทศแรกที่รู้จักการดื่มชาร้อนๆ เพื่อสุขภาพมาอย่างยาวนาน

ในอดีตชาวจีนได้เก็บเอาใบชาป่า มาตากแห้งเพื่อเก็บให้ไว้ได้นานโดยใช้ในการทำยารักษาโรค ต่อมาในภายหลังจึงได้นำมาอบแห้ง แล้วนำมาชงเป็นเครื่องดื่ม และพัฒนามาเป็นน้ำชาประเภทต่างๆ โดยชาวจีนได้ทำการปลูกต้นชามาตั้งแต่ในสมัยราชวงค์ฉินถึงราชวงค์ฮั่น การปลูกต้นชาเริ่มมีตามแนวมณฑลเสฉวน ลงมาถึงมณฑลยูนหนาน มาถึงสมัยราชวงค์ถัง การปลูกชาได้กระจายไปในแต่ละมณฑลตามแถบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง

สำหรับประวัติความเป็นมาของชาในประเทศไทย พบว่าในยุคสมัยสุโขทัย เป็นช่วงแรกที่ได้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับชาวจีน พบว่าได้มีดื่มชากันระหว่างชาวจีนและชาวไทย แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่านำชาเข้ามาได้อย่างไร และเมื่อใด

ในอดีตชากับชาวจีน กลายเป็นวัฒนธรรมและประเพณีที่มีความผูกพันกับชาวจีนมานานจนแยกจากกันไม่ออก ชาวจีนจึงได้ดื่มน้ำชาเป็นกิจวัตรประจำวัน และใช้ชาต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองมายาวนาน อีกทั้งยังกลายเป็นเครื่องดื่มสุขภาพที่ผู้คนมากมายในโลกหันมาดื่มอย่างจริงจังในปัจจุบัน

ชาเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่มีผู้นิยมมากอันดับ 2 รองจากน้ำดื่ม เพราะเป็นผลผลิตจากธรรมชาติจากใบชา ตูมชา ยอดอ่อน และก้านของต้นชา โดยผ่านกรรมวิธีแปรรูปหลากหลาย จนกลายเป็นชาต่างๆ แล้วนำมาชงหรือต้มกับน้ำร้อน ด้วยกลิ่นหอมกรุ่น รสชาติชื่นใจ จึงทำให้ได้รับความนิยมจากผู้คนมากมาย

“ชา” เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับการเล่าขานมายาวนาน ตั้งแต่เมื่อประมาณ 2,737 ปีก่อนคริสต์ศักราช วันหนึ่งในขณะที่ฮ่องเต้เสินหนงกำลังเสวยน้ำร้อนในถ้วยหนึ่งอยู่นั้น ก็ได้มีใบไม้จากต้นไม้แถวนั้น บังเอิญร่วงลงในถ้วยน้ำร้อนของฮ่องเต้ ทำให้สีของน้ำร้อนในถ้วยเปลี่ยนไป แต่ฮ่องเต้ก็ยังคงเสวยน้ำในถ้วยแก้วนั้นต่อไป โดยไม่ทันได้สังเกตว่ามีใบไม้ร่วงลงไป ด้วยรสชาติที่หอมอ่อนๆ ดื่มแล้วสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ฮ่องเต้ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

ในบทประพันธ์เรื่อง “ฉางจิน” ประพันธ์โดย “ลูอวี่” ได้มีการกล่าวถึงตำนานใบชาไว้ว่า “ฮ่องเต้เสิ่นหนงได้เคี้ยวพืชต่างๆ เพื่อทดสอบหาสรรพคุณของสมุนไพร ต่อมาฮ่องเต้เสิ่นหนงก็ได้ใช้ใบชาเป็นเครื่องดื่มช่วยในการถอนพิษด้วยเช่นกัน

ประวัติความเป็นมาของชา ทำให้ได้ทราบว่าชาวจีนรู้จักการบริโภคชามาแล้วกว่าพันปี ชาวบ้านในสมัยราชวงค์ฮั่นใช้ชาเป็นยารักษาโรคต่างๆ อีกด้วย ชาวจีนจึงนับว่าเป็นประเทศแรกที่รู้จักการดื่มชาร้อนๆ เพื่อสุขภาพมาอย่างยาวนาน

ในอดีตชาวจีนได้เก็บเอาใบชาป่า มาตากแห้งเพื่อเก็บให้ไว้ได้นานโดยใช้ในการทำยารักษาโรค ต่อมาในภายหลังจึงได้นำมาอบแห้ง แล้วนำมาชงเป็นเครื่องดื่ม และพัฒนามาเป็นน้ำชาประเภทต่างๆ โดยชาวจีนได้ทำการปลูกต้นชามาตั้งแต่ในสมัยราชวงค์ฉินถึงราชวงค์ฮั่น การปลูกต้นชาเริ่มมีตามแนวมณฑลเสฉวน ลงมาถึงมณฑลยูนหนาน มาถึงสมัยราชวงค์ถัง การปลูกชาได้กระจายไปในแต่ละมณฑลตามแถบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง

สำหรับประวัติความเป็นมาของชาในประเทศไทย พบว่าในยุคสมัยสุโขทัย เป็นช่วงแรกที่ได้มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับชาวจีน พบว่าได้มีดื่มชากันระหว่างชาวจีนและชาวไทย แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่านำชาเข้ามาได้อย่างไร และเมื่อใด

ในอดีตชากับชาวจีน กลายเป็นวัฒนธรรมและประเพณีที่มีความผูกพันกับชาวจีนมานานจนแยกจากกันไม่ออก ชาวจีนจึงได้ดื่มน้ำชาเป็นกิจวัตรประจำวัน และใช้ชาต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองมายาวนาน อีกทั้งยังกลายเป็นเครื่องดื่มสุขภาพที่ผู้คนมากมายในโลกหันมาดื่มอย่างจริงจังในปัจจุบัน

image from : www.omixjuice.com

เสาวรส (Passion Fruit) หรือที่คนไทยมักรู้จักกันในชื่อ “กะทกรกฝรั่ง” เป็นผลไม้เขตร้อนประเภทเถาเลื้อย มี 2 สายพันธุ์คือ ชนิดเปลือกสีเหลือง และชนิดเปลือกสีม่วงอมแดง ให้ผลมากในฤดูหนาว มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ แต่เติบโตได้ดีในบ้านของเรา ผลมีลักษณะเป็นรูปกลมหรือรูปไข่ เนื้อภายในมีลักษณะคล้ายทับทิม สามารถรับประทานผลสดได้

แต่ด้วยความที่เสาวรสเป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวจัด จึงนิยมนำมาคั้นทำเป็นเครื่องดื่ม ซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ ได้แก่ แคลเซียม โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี 2 และวิตามินซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยรักษาสมดุลในระดับเซลล์ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ รวมทั้งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย นอกจากนี้ยังมีสารไลโคปีนที่ช่วยบำรุงสายตา ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื่นให้กับผิว ช่วยรักษาสภาพเยื่อบุผิวหนัง และทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสอีกด้วย

เสาวรสยังเป็นแหล่งของกากใยอาหารและมีปริมาณแคลอรี่ต่ำ จึงส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย จึงเหมาะกับสาวๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก สำหรับการรับประทานเสาวรสนั้นควรเลือกที่ผลแก่จัด และก่อนรับประทานก็ควรล้างเปลือกนอกให้สะอาด จากนั้นให้ใช้มีดผ่าครึ่งแล้วนำไปแช่ให้เย็นจัดจึงค่อยรับประทาน หรือจะโรยเกลือเพื่อเพิ่มความเข้มข้นให้กับรสชาติอีกสักนิดก็ได้ แต่ถ้าใครที่ยังไม่คุ้นเคยกับรสชาติของเสาวรส วันนี้จึงมีสูตรน้ำเสาวรสมาฝาก ซึ่งมีส่วนผสมและกรรมวิธีง่ายๆ ดังนี้

ส่วนผสม:

เสาวรสล้างเปลือกจนสะอาด จำนวน 8 ผล น้ำตาลทรายครึ่งถ้วยตวง เกลือป่น 1 ช้อนชา และน้ำสะอาดอีก 1 ถ้วยตวง

วิธีทำ

1. ทำน้ำเชื่อม โดยเติมน้ำสะอาดและน้ำตาลลงในหม้อแล้วนำขึ้นตั้งไฟ ใช้ช้อนคนให้น้ำตาลละลายจนหมด พอเดือดให้ตั้งไฟอ่อน แล้วคนต่อไปอีกประมาณ 3 นาที จึงยกลงแล้วทิ้งไว้ให้เย็น
2. แยกเมล็ดออก โดยเทเนื้อของเสาวรสลงในกระชอน แล้วใช้ช้อนสะอาดยีจนน้ำออกจากเมล็ดจนหมด จากนั้นใส่เกลือลงในชามที่แยกน้ำเสาวรสแล้ว คนให้เกลือละลาย
3. ค่อยๆ ผสมน้ำเชื่อมกับน้ำเสาวรส คนให้เข้ากัน จึงเทใส่น้ำแข็ง พร้อมเสิร์ฟ

สูตรน้ำเสาวรสเพื่อสุขภาพและความงามนี้ หากทำดื่มเป็นประจำยังช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับ ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายในระหว่างวัน ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ช่วยบำรุงปอด ช่วยบรรเทาอาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ รวมทั้งช่วยฟื้นฟูตับและไตให้แข็งแรงได้ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยใหม่ๆ สนับสนุนด้วยว่า ในผู้สูงอายุที่ดื่มน้ำเสาวรสเป็นประจำยังมีความเสี่ยงต่อการเป็นเนื้องอกหรือเนื้อร้ายลดลงอีกด้วย

โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) หมายถึง ภาวะที่กระดูกมีความหนาแน่นของเนื้อกระดูกลดลง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในโครงสร้างของกระดูกที่ส่งผลให้กระดูกเปราะและหักง่าย มักพบในผู้สูงอายุ และสตรีที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน เนื่องจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายลดน้อยจึงส่งผลทำให้มวลกระดูกเกิดการสลายตัวในอัตราที่รวดเร็ว และมีผลทำให้เกิดอาการปวดตามข้อ รวมไปถึงกระดูกส่วนกลางที่ใช้ในการรับน้ำหนัก เช่น กระดูกสันหลังและกระดูกสะโพก ในระยะต่อมาจะค่อยๆ ทำให้ความสูงของลำตัวลดลง มีอาการหลังโก่งค่อม จนทำให้เสียบุคลิกภาพ มีการเคลื่อนไหวลำบาก หากเป็นมากจะทำให้ระบบทางเดินหายใจ รวมทั้งระบบทางเดินอาหารถูกรบกวน และถ้าหากมีการติดเชื้อในระบบดังกล่าวด้วย ก็จะทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนตามมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาวะถุงลมโป่งพอง หรือมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และท้องผูกเป็นประจำ เป็นต้น

ปัจจุบัน มีงานวิจัยในต่างประเทศระบุว่า “น้ำมะเขือเทศ” มีช่วยเสริมสร้างกระดูกและป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้ เพราะอุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส และสารไลโคปีน ซึ่งเป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่นอกจากจะมีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงแล้ว ยังมีคุณสมบัติช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย มะเร็งรังไข่ในผู้หญิง มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ และป้องกันโรคหัวใจได้ด้วย

ผลการวิจัยนี้ เป็นของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ประเทศแคนาดา ที่ได้จากการทดสอบกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีอายุตั้งแต่ 50 – 60 ปี จำนวน 60 คน โดยให้รับประทานมะเขือเทศที่มีไลโคปีนปริมาณ 15 มิลลิกรัม ทั้งในรูปของแคปซูลและรูปแบบอื่นๆ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า มะเขือเทศสามารถลดระดับ N-telopeptide ในเลือด ที่เป็นสาเหตุทำให้กระดูกเปราะง่ายลดลง ดังนั้น การรับประทานมะเขือเทศสกัดในรูปแคปซูล หรือจะนำมาทำเป็นน้ำมะเขือเทศคั้นสด ดื่มวันละ 2 แก้ว ก็จะสามารถเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนได้ดีอีกด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ น้ำมะเขือเทศ ยังได้ชื่อว่าเป็นเครื่องดื่มเพื่อความงาม เพราะช่วยให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายดีขึ้น จึงส่งผลทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ผิวไม่แห้งกร้าน ทั้งยังช่วยให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ช่วยบำรุงสายตา บำรุงสมอง ช่วยเสริมสร้างความทรงจำ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ รวมทั้งช่วยให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ

น้ำมะเขือเทศคั้นสดอาจมีรสชาติไม่คุ้นลิ้น หรือโดนใจใครหลายคนมากนัก แต่ถ้าได้รู้ถึงคุณประโยชน์ดีๆ ที่ร่างกายจะได้รับ ก็เชื่อแน่ว่าคงไม่มีใครจะปฏิเสธที่จะลองดื่มดูสักครั้ง

ประจำเดือน (Menstruation) รอบเดือน หรือ ระดู คือ เลือดและเนื้อเยื่อที่หลุดลอกออกของเยื่อบุโพรงมดลูกที่ไม่มีการปฏิสนธิ ซึ่งจะสัมพันธ์กับการตกไข่ และการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศหญิง โดยปกติจะเกิดขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 1 ครั้ง ครั้งละ 3 – 7 วัน วันละ 35 มิลลิลิตร ดังนั้น หากใครที่กำลังประสบปัญหาประจำเดือนมาไม่ปกติ ไม่ว่าจะมามากเกินไป น้อยเกินไป หรือมาไม่สม่ำเสมอ ก็อย่าเพิ่งวิตกกังวลไปมากกว่านี้ เพราะความเครียดยังถือเป็นสาเหตุหลักของอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น แล้วลองหันมาแก้ปัญหาด้วยวิธีทางธรรมชาติ ที่รับรองได้ว่าไม่มีผลข้างเคียงใดๆ กับ “น้ำผักผลไม้สีม่วง: สูตรแก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ” ซึ่งมีส่วนผสมและสรรพคุณ ดังนี้

บีทรูต: เป็นผักเพื่อสุขภาพเพราะประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ ได้แก่ วิตามินบี 1 บี 2 บี 6 กรดโฟลิก แคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม โซเดียม ฟอสฟอรัส และสังกะสี ซึ่งมีสรรพคุณช่วยในการทำความสะอาดตับ ไต และลำไส้ตอนล่าง รวมทั้งช่วยบำรุงรักษาเซลล์เม็ดเลือดแดง และเสริมความสามารถในการรับออกซิเจนให้แก่เม็ดเลือด จึงมีส่วนช่วยทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ

องุ่นม่วง: เป็นผลไม้ที่หารับประทานได้ง่าย ทั้งยังอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นแคลเซียม ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส กำมะถัน วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินซี กรดไฟโตเคมิคอล เอลลาจิก หรือสารต่อต้านริ้วรอย และกรดทาร์ทาริก ซึ่งเป็นตัวช่วยสำคัญในการชะล้างของเสียที่สะสมอยู่ในร่างกาย มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญสารอาหารและช่วยขับปัสสาวะจึงดีต่อเลือดลมสำหรับคุณผู้หญิง

ลูกพลัม: เป็นผลไม้เมืองหนาวที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง มีวิตามินเอที่ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย ช่วยบำรุงสายตาและป้องกันโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับดวงตา รวมทั้งมีวิตามินซีที่มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนให้กับผิวหนังและเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก นอกจากนี้ยังมีเส้นใยอาหาร และธาตุอาหารที่สำคัญอย่างแมกนีเซียม ธาตุเหล็ก และโพแทสเซียม มีไขมันต่ำ และมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ จึงเหมาะกับสาวๆ ที่กำลังลดความอ้วนอีกด้วย

“น้ำผักผลไม้สีม่วง: สูตรแก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ” ยังมีกรรมวิธีการทำที่ไม่ยุ่งยาก แค่นำบีทรูต องุ่นม่วง และลูกพลัมอย่างละ 1 ถ้วย มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วปั่นรวมกัน กรองเอาแต่น้ำเทใส่น้ำแข็งเพื่อเพิ่มความเย็นสดชื่น ก็พร้อมเสิร์ฟได้ง่ายๆ หากทำดื่มเป็นประจำ นอกจากจะช่วยรักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติได้แล้ว ยังช่วยในเรื่องของสุขภาพได้ดีอีกด้วย

แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากอาการประจำเดือนมาไม่ปกติเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งที่เป็นสาเหตุเล็กๆ อย่างความเครียด ความอ่อนล้า การใช้ยาบางประเภท หรือการมีน้ำหนักเกิน ซึ่งเราสามารถจัดการกับตัวเองได้ และที่มาจากสาเหตุใหญ่ๆ เช่น ความผิดปกติของฮอร์โมนจากรังไข่และเยื่อบุโพรงมดลูก การมีติ่งเนื้อ หรือเนื้องอก ดังนั้น หากมีภาวะประจำเดือนมาผิดปกติ ก็ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า

 

ชาสีแดง ได้แก่ ชาดอกกระเจี๊ยบ: นำกลีบเลี้ยงหรือกลีบรองดอกของดอกกระเจี๊ยบแดงมาตากแห้งแล้วบดเป็นผง ใช้ครั้งละ 1 ช้อนชาชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย (ประมาณ 250 ซีซี) ดื่มเฉพาะส่วนที่เป็นน้ำใสๆ วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันทุกวัน จะช่วยบำรุงร่างกาย ป้องกันหวัด แก้อาการขัดเบา หรืออาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะได้

ชาสีเหลือง ได้แก่ ชาดอกดาวเรือง: นำดอกดาวเรืองมาล้างให้สะอาด แล้วนำไปตากจนแห้ง จากนั้นนำมาคั่วหรืออบแล้วเก็บใส่ขวดที่มีฝาปิดสนิท เวลาดื่มให้ใช้ดอกดาวเรือง 1 – 2 ดอกใส่ในแก้วแล้วเทน้ำร้อนลงไป ปล่อยให้ตัวยาละลายประมาณ 15 – 20 นาที จึงนำมาดื่ม จะมีสรรพคุณช่วยบำรุงสายตา ช่วยฟอกเลือด ขับลม แก้ไอ ละลายเสมหะ รักษาอาการเต้านมอักเสบ คางทูม และแก้วิงเวียนศีรษะได้ดี

ชาสีเขียว ได้แก่ ชาเตยหอม: นำเตยหอมมาล้างให้สะอาดแล้วหั่นซอยให้ละเอียด จากนั้นนำไปตากให้แห้ง แล้วนำมาคั่วหรืออบตามสะดวก เก็บใส่ขวดที่มีฝาปิดมิดชิด เวลาดื่มให้หยิบชาเตยหอมประมาณหยิบมือใส่ในแก้วแล้วเทน้ำร้อนลงไป ทิ้งไว้ให้ตัวยาละลายจึงดื่ม จะมีสรรพคุณช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยบำรุงกำลัง แก้ร้อนใน กระหายน้ำ

ชาสีม่วง ได้แก่ ชาดอกอัญชัน: นำดอกอัญชันมาล้างให้สะอาดแล้วนำไปตากให้แห้ง จากนั้นนำมาคั่วหรืออบ แล้วเก็บใส่ในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท เวลาดื่มให้ใช้ดอกอัญชันแห้งราว 4 – 5 ดอก หรือหยิบมือหนึ่ง ใส่แก้วแล้วเติมน้ำร้อนลงไป ทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที ให้ตัวยาละลายออกมาแล้วค่อยดื่ม จะมีสรรพคุณช่วยบำรุงสายตา ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของหลอดเลือดฝอย รวมทั้งทำให้เลือดไปเลี้ยงรากผมดี จึงช่วยบรรเทาอาการผมร่วงได้

ชาสีขาว ได้แก่ ชาดอกบานไม่รู้โรยสีขาว: ล้างดอกบานไม่รู้โรยให้สะอาดแล้วนำไปตากให้แห้ง จากนั้นนำมาคั่วหรืออบแล้วเก็บใส่ขวดปิดฝาให้สนิท เวลาดื่มให้ใช้ดอกบานไม่รู้โรย 1 – 2 ดอกใส่ในแก้วแล้วเทน้ำร้อนลงไป ปล่อยให้ตัวยาละลายประมาณ 15 – 20 นาที จึงนำมาดื่ม หรือจะใช้วิธีต้มให้เดือดก็ได้ จะมีสรรพคุณช่วยบำรุงตับ ขับปัสสาวะ รักษาอาการหอบหืด แก้ไอ แก้ปวดศีรษะ แก้เจ็บตา แก้บิด และรักษาแผลผื่นคันได้

เคล็ดลับสุขภาพดีง่ายๆ ด้วยชาร้อนหลากสี สาระความรู้ดีๆ ที่คงจะทำให้ใครหลายคนมองหาชาสักสี 2 สี มาติดบ้านไว้ใช้ชงดื่มเป็นประจำ

ตลาดสดสนามเป้าพาชิมข้าวผัดสีชมพู ร้านผัดไทเจ๊กุ่ย ตลาดบางใหญ่เก่า

วันนี้ทางรายการพาไปอร่อยที่ตลาดบางใหญ่เก่า ที่ร้านผัดไทเจ๊กุ่ย ซึ่งชื่อร้านผัดไท เมนูขึ้นชื่อและแปลกไม่ใช่ผัดไทย แต่เป็นข้าวผัดสีชมพู ซึ่งปัจจุบันนี้หากินได้ยากมาก และตัวผมเองก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยชิมซะด้วยสิครับ

สำหรับแขกรับเชิญครั้งนี้เป็นดาราตลกแนวหน้า โหน่ง ชะ ชะ ช่า

ป้ายร้านผัดไทเจ๊กุ่ย

เจ๊กุ่ย เจ้าของร้าน

เจ๊กุ่ย เผยว่า ข้าวผัดสีชมพู เกิดจากซอสเย็นตาโฟ เวลาผัดจะเกิดสีชมพูขึ้นมา ส่วนสูตรเด็ดความอร่อยนั้น จะให้ไข่เป็ดในการผัดข้าว และข้าวที่ใช้เป็นข้าวเสาไห้ ส่วนการหุงข้าวจะใช้วิธีโบราณแบบเช็ดน้ำ

สำหรับสูตรข้าวผัดสีชมพูนั้น สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นแม่ ตอนนี้ก็ผ่านมาราวๆ 60 ปี ปัจจุบันเป็นร้านข้าวผัดสีชมพูเพียงหนึ่งเดียวที่ตลาดบางใหญ่เก่า

ซอสเย็นตาโฟ ที่มาของสีชมพู

ไข่เป็ดสูตรเด็ดเมนูข้าวผัดสีชมพู

ข้าวผัดสีชมพูจานนี้ราคา 35 บาท

สำหรับความอร่อยนั้น โหน่ง ชะ ชะ ช่า บอกว่า เป็นข้าวผัดที่อร่อยมาก สมแล้วที่เดินทางมาไกล

โหน่ง ชะ ชะ ช่า กินไม่หยุดกันเลยทีเดียว

สูตรเด็ด ต้องหุงข้าวแบบเช็ดน้ำ

นอกจากเมนูข้าวผัดสีชมพู ที่เลื่องลือ แต่ก็ยังมีเมนู ตามสั่งทั่วไปที่ไม่ธรรมดา ได้แก่ ผัดซีอิ้ว, ผัดไทย โดยสูตรเด็ดของผัดซีอิ้วจะเจียวกระเทียมกับเนื้อหมู และเติมเต้าเจี้ยวลงไปด้วย ทำห้เกิดความหอมอร่อย ซึ่งสูตรนี้ทำกันมาตั้งแต่รุ่นแม่ของเจ๊กุ่ย

สูตรเด็ดผัดซีอิ้วใส่เต้าเจี้ยวก่อนผัดเส้น

สำหรับเมนูผัดไทย ธรรมดา แต่ไม่ธรรมดา เพราะเป็นสูตรโบราณมาจากรุ่นแม่ โดยน้ำผัดไทยทำจากการคั้นน้ำมะขามเปียกและผสมกับน้ำตาลปี๊บ

และก่อนที่จะผัด จะไม่ได้ใช้น้ำมัน แต่จะใช้กากหมู ในการผัด ซึ่งไม่เหมือนที่ไหนๆ และทุกเมนูต้องใช้ไข่เป็ดเท่านั้น เพื่อให้เกิดความหอมมัน

สูตรเด็ดน้ำผัดไท น้ำมะขามเปียก และน้ำตาลปี๊บ

กากหมู ใช้ในการผัดผัดไทย

การผัดค่อนข้างใช้เวลานาน และแต่ละเมนู ทำทีละจาน ยิ่งทำให้นานกว่าเดิม เพราะเจ๊กุ่ย จะพิถีพิถันในทุกๆจาน แม้จะช้า แต่ลูกค้าไม่ได้น้อยไปด้วย เพราะลูกค้ายินดีที่จะยืนรอแม้จะนานเป็นชั่วโมงก็ตาม

ทุกเมนู ใช้ไข่เป็ด

เมนูผัดไทย เจ๊กุ่ย

ลูกค้าที่ยืนรอบอกเล่าถึงความอร่อย

ร้านเจ๊กุ่ย เป็นร้านดั้งเดิมที่สืบทอดตำนานมาจากคุณแม่ โดยร้านจะตั้งริมคลองบางกอกน้อย อีกทั้งเครื่องไม้เครื่องมือทำมาหากินต่างๆ แม้ดูชำรุด แต่ก็ยังนำมาใช้การได้ดี

สิ่งที่ต้องแทบจะหลุดขำกันออกมาคือกระทะที่พังไปเยอะมาก แต่ก็ยังนำมาใช้ทำเมนูก๋วยเตี๋ยวได้อย่างคลาสสิค

กระทะของแม่ ที่ยังมาใช้งาน แม้จะไม่มีหูแล้ว

กระทะใบนี้ใช้ในการทำก๋วยเตี๋ยว

เมนูก๋วยเตี๋ยว เจ๊กุ่ย

ดูร้านอาหารแล้ว ก็นึกอยากจะเดินทางไปจริงๆ โดยเฉพาะเมนู ผัดไทย ผัดซีอิ้ว แค่เห็นภาพก็อร่อยตามแล้วหล่ะครับ รูปแบบการทำอาหารแบบโบราณจริงๆเลยครับ ยึดสูตรมาตั้งแต่รุ่นแม่ อุปกรณ์ก็ของแม่อีกต่างหาก ยอมรับในอุดมการณ์จริงๆ

และสุดท้ายเป็นภาพน่ารักๆจากรายการ โดยโหน่งพา 3 พิธีกรเต้น ครับ

โหน่ง พาเต้น

คลิปวีดีโอรายการตลาดสดสนามเป้า

ตลาดสดสนามเป้าพาชิมก๋วยเตี๋ยวอร่อย ล้วงสูตรก๋วยเตี๋ยวเรือเสวย โกเหม๋ง

ก๋วยเตี๋ยวเรือ เป็นอาหารที่คุ้นเคยของคนไทยมายาวนาน และเป็นที่ถูกใจของหลายๆคนอีกด้วย เพราะด้วยรสชาติที่เข้มข้นตามสูตรต้นฉบับ และครั้งนี้ทางรายการตลาดสดสนามเป้า ก็ได้พาลุยล้วงสูตรอร่อยของก๋วยเตี๋ยวเรือเสวย โกเหม๋ง ที่ อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี โดยมีแขกรับเชิญคือ แก๊ป ธนเวทย์

ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเสวย โกเหม๋ง เปิดบริการมานานกว่า 23 ปี และเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวที่แตกต่างจากร้านอื่นๆคือ เป็นร้านที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จมาที่ร้านถึง 7 ครั้ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 จึงน่าจะเป็นการยืนยันถึงรสชาติที่อร่อยเด็ดอีกร้านหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี

ป้ายภายในร้านเขียนบันทึกถึงการเสด็จของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเสวย โกเหม๋ง มีทั้ง หมูและเนื้อวัว สำหรับสูตรเด็ดของทางร้านนั้น จะอยู่ที่ก๋วยเตี๋ยวเรือน้ำตก คือจะไม่ได้ใช้เลือดสดมาใช้ แต่จะเป็นน้ำเลือดที่ซึมออกมาจากการหั่นหมู ซึ่งมีปริมาณมากพอในการใช้แต่ละวัน

ลูกชายโกเหม๋ง

น้ำเลือดที่ซึมออกมาจากการหั่นหมู มาใช้ทำก๋วยเตี๋ยวน้ำตก

เนื่องจากในแต่ละวันจะมีลูกค้าเข้าร้านเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะตอนเที่ยง ทางร้านก็จะมีการจัดเตรียมความพร้อมโดยเตรียมชามก๋วยเตี๋ยวและใส่เครื่องปรุงไว้รอนับร้อยๆชาม เพราะฉะนั้นใครที่จะเดินทางไปชิม ก็ไม่ต้องห่วงเพราะไม่ต้องรอนาน

เครื่องปรุงรสสูตรพิเศษ ที่เตรียมไว้ในชาม

สำหรับเมนูที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเสวยคือ “เส้นเล็กแห้งเนื้อสด ลูกชิ้น” ส่วนการทำอาหารนั้นเป็นสูตรเดียวกันไม่มีอะไรพิเศษ

คุณเอ ลูกชายโกเหม๋ง ถึงกับตื้นตันใจอย่างมาก ที่พระองค์จะเสด็จมาถึง 7 ครั้ง สำหรับครั้งแรกนั้นแทบไม่น่าเชื่อ จนกระทั่งเห็นรถองครักษ์เข้ามา จึงพากันตื่นเต้น และจัดร้านกันยกใหญ่ จนแทบนอนไม่หลับในวันก่อนเสด็จ

แต่ละคนในร้านเล่าเรื่องความปลาบปลื้มใจเมื่อครั้งเสด็จ

ก๋วยเตี๋ยวน้ำตก

นอกจากก๋วยเตี๋ยวเรือแล้ว ยังมีเมนูที่ลูกค้านิยมคือ “ขนมจีนแกงเขียวหวานปลากราย”

ทอดมันปลากราย, หมูสะเต๊ะ

น้ำยาขนมจีนเต็มหม้อ

ขนมจีนแกงเขียวหวานปลากราย

ทอดมันปลากราย

หมูสะเต๊ะ

สำหรับทุกวันนี้ ร้านโกเหม๋ง ก็ยังมีลูกค้าเดินทางเข้าร้านมากมายทุกวันและแต่ละคนก็เชื่อว่าเป็นพระบารมีของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ได้ทรงเสด็จมาที่ร้าน  อีกทั้ง เงินที่ได้รับประทานมานั้น ก็ได้นำเก็บไว้บูชา ไม่นำมาใช้

เงินประทานที่เก็บไว้บูชา

เห็นแล้วผมก็รู้สึกปลาบปลื้มใจแทน กับครอบครัวโกเหม๋ง ที่ได้มีโอกาสเช่นนี้ ซึ่งไม่ใช่โอกาสง่ายๆเลย

คลิปย้อนหลังรายการตลาดสดสนามเป้า

ร้านโกเหม๋ง ก๋วยเตี๋ยวเรือเสวยโกเหม๋งจะอยู่ในซอยธรรมสุธีร์ ถนนนนทบุรี – ปทุมธานี

ติดต่อร้าน โทร 083-9749013, 087-0636060

ตลาดสดสนามเป้าพาไปชิมข้าวซอยฮ่อ รามคำแหง 39

ครั้งนี้รายการตลาดสดสนามเป้าพาไปชิมอาหารและล้วงสูตรลับ อาหารโปรดของผมเลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ “ข้าวซอยฮ่อ” เพราะผมชอบในความหอมมันของน้ำข้าวซอย แต่สำหรับข้าวซอยฮ่อ ผมก็ไม่เคยได้ชิมเลยนะครับ ไม่รู้ว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร เอาเป็นว่าไปชมความน่าอร่อยกันก่อนแล้วกันครับ

สำหรับวันนี้ทางรายการตลาดสดสนามเป้ามีแขกรับเชิญที่จะพาไปชิมคือ เต้-ปิติศักดิ์

เจ๊หนู เจ้าของร้านข้าวซอยฮ่อ

ป้ายหน้าร้านข้าวซอยฮ่อ

เจ๊หนู บอกว่าข้าวซอยฮ่อ เป็นอาหารที่มีประวัติมายาวนาน โดยต้นตำรับมาจากทางภาคเหนือ สิบสองปันนา โดยเจ๊หนูนำสูตรมาจากเชียงราย เดิมข้าวซอยฮ่อเป็นสูตรของคนจีนที่นับถือศาสนาอิสลาม จึงทำให้ข้าวซอยฮ่อมีรสชาติจัดจ้านของเครื่องเทศแบบเต็มๆ จึงมีรสชาติที่แตกต่างจากสูตรทางภาคเหนือทั่วไปที่เป็นแบบน้ำเงี้ยว

เครื่อเทศ ส่วนประกอบสำคัญของข้าวซอยฮ่อง

สูตรข้าวซอยฮ่อ จะเด่นเรื่องเครื่องเทศ โดยจะนำเครื่องเทศทุกอย่างไปคั่วให้หอมก่อน โดยมี “ลูกชะโก” ที่สั่งตรงมาจากเชียงตุง ถือว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุดของข้าวซอยฮ่อ ซึ่งจะให้ความหอมชวนรับประทาน และเจ๊หนูก็บอกว่า อีกหนึ่งอย่างที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ “ถั่วเน่า” (ถั่วเหลืองที่นำมาหมัก)

และจะนำมาคั่วรวมกับเครื่องเทศทั้งหมด แล้วจึงนำมาตำจนละเอียด จะได้เครื่องแกงสำหรับทำข้าวซอย

เครื่องแกงข้าวซอยฮ่อ

เมื่อได้เครื่องแกงข้าวซอยฮ่อออกมาแล้ว ก็จะนำมาคั่ว ใส่หัวกระทิแล้วใส่ไก่ลงไปคั่วจนไก่สุก ก็จะได้น้ำข้าวซอยแสนอร่อย … แค่ผมดูรูปก็หิวแล้วหล่ะครับ น่าอร่อยมากๆ

ส่วนข้าวซอย เจ๊หนูบอกว่าสั่งตรงมาไกลถึงเชียงราย ซึ่งเป็นสูตรที่เจ๊หนูนำมาเปิดร้านแห่งนี้

ข้าวซอยฮ่อ ร้านเจ๊หนู

สีหน้า นายเต้ สุดฟิน เมื่อได้ลิ้มรสชาติ

สำหรับรสชาติที่ เต้ ปิติศักดิ์ ได้กล่าวคือ “มันกลมกล่อม มันห๊อม หอม” สุดยอดครับ !!!!

แค่นี้ก็เล่นเอาท้องร้องกันเลยทีเดียวครับงานนี้

นอกจากข้าวซอยฮ่อแล้ว ก็ยังมีเมนูอื่นๆของทางร้าน โดยมีเมนูแนะนำคือ “ข้าวผัดน้ำพริกหนุ่ม” ซึ่งมีความเด็ดตรงที่ เจ๊หนูได้คิดค้นสูตรขึ้นเอง และส่วนผสมสำคัญที่สุดนั่นก็คือ “ปลาร้า” ย้ำนะครับว่า “ปลาร้า” ผมก็เพิ่งจะทราบว่า ข้าวผัดเขาใส่ปลาร้ากันด้วยเหรอเนี้ย…

ปลาร้าสูตรเด็ด สำหรับข้าวผัดน้ำพริกหนุ่ม

เครื่องน้ำพริกหนุ่มนำมาย่างไฟ

สำหรับวิธีการทำน้ำพริกหนุ่ม เจ๊หนู เผยว่า ให้นำปลาร้า และเครื่องน้ำพริกหนุ่ม นำไปย่างไฟให้หอมซะก่อน แล้วจึงนำมาโขลกรวมกัน จะได้เป็นน้ำพริกหนุ่มแสนอร่อยออกมา

และวิธีการทำข้าวผัดน้ำพริกหนุ่มก็ง่ายๆ โดยการเจียวกระเทียมและหมูสับ และหมูยอให้สุก แล้วตามด้วยข้าวหอมมะลิ และน้ำพริกหนุ่ม ผัดให้เข้ากันดี และนำเสิร์ฟ มีเครื่องเคียงคือแคบหมู และหมูยอ พร้อมผักชีทั้งต้น โป๊ะหน้าด้วยน้ำพริกหนุ่ม

สำหรับรสชาตินั้น หนุ่มเต้ บอกว่า “มันเข้ากันมาก และอร่อยมาก” (แถมกินไม่หยุดเลยหล่ะครับ)

ข้าวผัดน้ำพริกหนุ่ม เมนูแนะนำอีกอย่างของร้านเจ๊หนู

หนุ่มเต้ ยืนยันความอร่อยเลิศ

นอกจากเมนู 2 อย่างข้างต้นแล้วก็ยังมีเมนูสุดพิเศษแนะนำอีก สำหรับคนที่ชอบทานเนื้อ เมนูนี้ไม่ควรพลาดนั่นก็คือ “น้ำเงี้ยว น้ำวัว” ซึ่งจะมีเนื้อวัวและน้ำซุปที่ต้มมาจากกระดูกวัว … ผมแค่คิดภาพตามก็น่าอร่อยแล้วหล่ะครับ เมนูนี้เป็นเมนูที่พิถีพิถันอีกเมนูของทางร้านเลยหล่ะครับ

น้ำเงี้ยว น้ำวัว

และมาต่ออีก 1 เมนู เลยครับ นั่นคือ “ข้าวผัดลาบเหนือ”  โดยเมนูนี้ จะเริ่มต้นจากการทำลาบดิบ แบบทางเหนือก่อน แต่เนื้อที่ใช้คือเนื้อหมูนะครับ เมื่อทำลาบเหนือเสร็จแล้วก็นำไปคั่วให้สุกและใส่ข้าวลงไปผัดให้เข้ากันก็เป็นอันเสร็จพิธี

ข้าวผัดลาบเหนือ

นอกจากความอร่อยของอาหารแล้ว เจ๊หนูก็ได้ให้ความสำคัญกับความสะอาดของร้านอย่างมาก ซึ่งผมแค่ได้ชมทางโทรทัศน์ ก็เห็นถึงความสะอาดชัดเจนเลยครับ สำหรับร้านนี้น่าไปลองจริงๆ ขณะที่ผมเขียนสรุปอยู่นี้ก็รู้สึกหิวท้องร้องเลยครับ

เจ๊หนู ให้ความสำคัญด้านความสะอาดของร้านมาก

ถ้าได้แวะไปแถมรามคำแหง ก็ลองแวะเข้าไปลิ้มลองดูนะครับ แต่สำหรับผมแล้ว คงไปลำบากแล้วหล่ะเพราะบ้านอยู่บ้านนอกครับผม

คลิปรายการตลาดสดสนามเป้า

ข้าวซอยฮ่อ

สถานที่ตั้งตั้ง รามคำแหง 39 ซอยเทพลีลาแยก 10

โทร 087 – 790 8222

เพิ่มเติมที่เพจ ===> ข้าวซอยฮ่อ กรุงเทพ

ข้อมูลอ้างอิงจาก เพจตลาดสดสนามเป้า

รับชมรายการตลาดสดสนามเป้าได้ทุกวันอาทิตย์ ทาง ททบ. 5

ตลาดสดสนามเป้าพาลุยพาชิงอาหารทะเลสุดอร่อย ที่ร้านครัวครูหมู

ตลาดสดสนามเป้าพาชิมอาหารทะเลสดๆ แสนอร่อย ที่ร้านครัวครูหมู แม่กลอง สมุทรสงคราม

พอได้ดูรายการตลาดสดสนามเป้าที่พาไปชิมอาหารทะเลสดๆ สุดฟิน ก็เล่นเอาน้ำลายสอกันเลยทีเดียว และสำหรับครั้งนี้ตลาดสดสนามเป้าได้พาเดินทางไปยังร้านอาหารทะเล ที่แม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม โดยมีแขกรับเชิญดาราคู่แฝดมิลลี่และนิกกี้

ร้านอาหารทะเลครั้งนี้คือ ร้านครัวครูหมู ซึ่งเป็นร้านอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างมากในแถบแม่กลอง สำหรับอาหารขึ้นชื่อที่ครูหมูบอกว่าเด็ดที่สุดก็คือ “ปลาดุกทะเลผัดฉ่า”

วัตถุดิบสดๆ ปลาดุกทะเล

ปลาดุกทะเลผัดช่าผัดจนน้ำแห้งซึมเข้าเนื้อ

สำหรับเมนู “ปลาดุกทะเลผัดฉ่า” จะมีเคล็ดลับคือ ผัดพริกขี้หนูโขลกหยาบให้สุกหอมแล้วเติมน้ำต้มให้เดือด แล้วใส่ปลาดุกทะเลลงไป จากนั้นต้องปิดฝาแล้วอบไว้ประมาณ 2 นาที จะทำให้น้ำซึมเข้าปลาดุกเต็มที่ และผัดจนน้ำแห้ง จะทำให้ปลาดุกอร่อยแบบสุดฟิน

ปลาดุกทั้งตัวจานนี้ราคา 250 บาท

ปลาดุกทะเลผัดฉ่า เมนูสุดเด็ดที่ครูหมูแนะนำ

นอกจากเมนูสุดเด็ดที่ครูหมูแนะนำแล้ว ก็ยังมีเมนูแนะนำอีกคือ “ปูเนื้อผัดพริกไทยดำ”

วัตถุดิบสดๆ ปูเนื้อ

ขั้นตอนการทำ จะใช้วัตถุดิบสดใหม่ ปูเนื้อตัวใหญ่ๆ น้ำหนักราวๆ 9 ขีด แค่เห็นวัตถุดิบก็น่าอร่อยแล้วครับ ขั้นตอนเริ่มจากการเจียวกระเทียมพอหอมแล้วใส่ปูเนื้อลงไปผัดแล้วใส่น้ำสต็อกปิดฝาไว้ราวๆ 3 นาทีให้ปูสุก จากนั้นก็ปรุงรส ใส่พริกไทยดำ ผัดจนอร่อยๆครับผม

ปูเนื้อผัดพริกไทยดำ

เมื่อผัดคลุกเคล้าเครื่องปรุงจนเข้าเนื้อแล้วก็ตักเสิร์ฟทันที

ปูเนื้อผัดพริกไทยดำ น้ำหนัก 9 ขีด ราคา 1,090 บาท

แม้ราคาจะแพง แต่ก็แพงตามราคาวัตถุดิบ เพราะราคาปูเนื้อกิโลกรัมละเป็นพันเลยหล่ะครับ ที่ร้านครัวครูหมูจะมีอาหารทะเลหลากหลาย และก็มีเมนูธรรมดาแต่สุดอร่อยนั่นก็คือ “ข้าวผัดปูและกุ้ง” เป็นเมนูที่ครูหมูอกว่าแทบทุกโต๊ะต้องสั่ง

ข้าวผัดปูและกุ้งสูตรครูหมู จะเด็ดที่ใช้ไข่เป็ด

สำหรับข้าวผัดปูและกุ้ง จะใช้ไข่เป็ดในการผัดเพราะมีสีสันสดเข้มจัด

ข้าวผัดปูและกุ้งสูตรครัวครูหมู

เมนูกุ้งเผา ครัวครูหมู

ปลามึกกล้วยผัดกะปิ

ร้านอาหารครัวครูหมูจะตั้งอยู่ติดแม่น้ำแม่กลอง เป็นร้านอาหารที่ได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงของแม่กลอง จะสังเกตุได้จากมีผู้แวะเวียนมารับประทานอาหารมากมายในแต่ละวัน

บรรยากาศครัวครูหมู

บรรยากาศครัวครูหมู

บรรยากาศครัวครูหมู

ร้านครัวครูหมูเปิดบริการมานานกว่า 30 ปี ตั้งอยู่หลังโรงเรียนดรุณานุกูล  ซึ่งแต่เดิมเป็นบ้านอาศัย และได้ใช้เวลาว่างในการเปิดร้านอาหาร จนมีกิจการร้านอาหารจนทุกวันนี้

ป้ายแจ้งการเปิดบริการ ร้านครัวครูหมู

ทางร้านครูครูหมูบอกว่า การเปิดร้านเพียงช่วงเย็นในวันธรรมดาเพราะว่า ทางร้านได้จ้างเด็กๆมาช่วยงาน พาร์ทไทม์ ได้ ถ้าเปิดทั้งวัน เด็กๆ จะไม่มีโอกาสได้เข้ามาหารายได้ พอได้ยินเรื่องนี้ก็รู้สึกดีและน่ายินดี กับความเอื้อเฟื้อต่อสังคมจริงๆ เลยครับ

นอกจากค่าจ้างเด็กๆ ที่มาช่วยงานแล้ว ร้านครูครูหมู ก็ยังมีน้ำใจในดารจ้างแม่ครัวที่มีอายุมากมาช่วยงาน ทำให้ผู้สูงอายุสามารถที่จะมีรายได้ในการจุนเจือครอบครัวต่อไปได้

ป้าติ๋ว ที่ครูหมู ขังจ้างทำงานแม้จะมีอายุ 58 ปี แล้ว

เด็กๆ ที่ครูหมูรับมาช่วยงานพาร์ทไทม์

ร้านครูหมูอาหารทะเล

ที่ตั้ง: 70 ซอยยาโกเบ 1 ต.แม่กลอง จ.สมุทรสงคราม , อ.เมืองสมุทรสงคราม

วันและเวลาเปิดบริการ
จันทร์ -ศุกร์ เวลา 17:00-21:00น.

เสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 10:30-21:00น.

ครัวปิดเวลา 20.00 น.
โทรติดต่อ สอบถาม ได้ที่ 085-8306963
083-5555813
081-5718077
034-723226

แผนที่ครัวครูหมูอาหารทะเล
ภาพจาก www.thairath.co.th

เพิ่มเติมข้อมูลที่ ==> www.facebook.com/KhrawKhruHmu

ขอขอบคุณรายการดีๆ ที่ทำให้เรามีความสุข รายการตลาดสดสนามเป้า

www.facebook.com/talaadsodsanampao

ตลาดสดสนามเป้ากับร้านอาหารอร่อย “ครัวพญาควาย”

ตลาดสดสนามเป้า พาเที่ยว พาชิมอาหารอร่อย ที่ร้านครัวพญาควาย สระบุรี

ร้านอาหารอร่อยที่จะนำเสนอวันนี้ มาจากรายการตลาดสดสนามเป้า คือร้านครัวพญาควาย จังหวัดสระบุรี ร้านจะอยู่ติดวัดพระพุทธบาทสระบุรี ผมเคยเดินทางไปเที่ยวทำบุญที่วัดพระพุทธบาทบ่อยครั้ง แต่ไม่เคยไปชิมเลยครับ คงต้องหาโอกาสไปชิมกันบ้าง จึงขอเขียนข้อมูลสรุปจากรายการตลาดสดสนามเป้าไว้ก่อน

ร้านครัวพญาควาย ตั้งอยู่ที่อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี จะเด่นในเมนูอาหารป่า และยังมีดนตรีสดคอยขับกล่อมไปกับบรยากาศสบายๆอีกด้วย สำหรับข้อมูลการติดต่อทางร้าน โทร 089-5396663  ถ้าเดินทางมาถึงวัดพระพุทธบาทก็ลองโทรสอบถามกันดูครับว่าร้านอยู่ตรงไหน เนื่องจากวัดกว้างใหญ่พอสมควร ผมทราบเพียงว่าอยู่หลังวัดพระพุทธบาท

ร้านเปิด 10.00 น. ถึง 23.00 น.  โดยดนตรีสดเริ่ม 19.00 น.

หรือลองดูข้อมูลที่ Facebook ร้านครัวพญาควายที่นี่ ===> ร้านครัวพญาควาย

หน้าร้านครัวพญาควาย

คุณต้อย เจ้าของร้านครัวพญาควาย

แม่กำไร เชฟประจำร้าน

เมนูที่ทางร้านแนะนำ

1. ปลาทุ่งทานตะวัน

ทางร้านบอกว่า จะใช้ปลาอะไรก็ได้ที่ชอบ สามารถนำมาปรุงรสทำได้หมด ซึ่งทางร้านได้โชว์เมนูนี้ด้วยปลาทับทิม เมนูนี้จะทำการทอดปลาให้กรอบก่อน

และความอร่อยอยู่ที่ผัดน้ำมันหอยต้นอ่อนทานตะวัน โดยเริ่มจากการนำกระเทียมมาเจียวก่อนให้เหลือง แล้วใส่กุ้งสดลงไป และทำการปรุงรสโดยมีเครื่องปรุงหลักเป็นน้ำมันหอยและซอสถั่วเหลือง เพิ่มสีสันด้วยแครอทหั่นเต๋า แล้วจึงใส่ต้นอ่อนทานตะวันลงไปผัดให้สุก แล้วนำมาราดบนตัวปลาทอด ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

เตรียมผัดกุ้งน้ำมันหอยต้นอ่อนทุ่งทานตะวัน

ปลาทุ่งทานตะวัน เมนูเด่นที่ร้านครัวพญาควาย

เมนูปลาทุ่งทานตะวัน จะขึ้นกับขนาดของปลานะครับ แต่ตัวนี้ราวๆ 200 บาท

2.เมนูส้มตำทานตะวันทอดกรอบ

เมนูนี้ทางร้านแนะนำว่า ราคาไม่แพงราคาเพียง 50 บาทเท่านั้น โดยวิธีทำเริ่มจากการผสมแป้งทอดกรอบก่อน แล้วจึงนำต้นอ่อนทานตะวันคลุกกับแป้งทอดกรอบแล้วนำลงไปทอดในน้ำมันร้อนๆจนกรอบ จากนั้นทำการปรุงรสส้มตำแบบตำไทย (ความอร่อยขึ้นกับการตำส้มตำนี่แหละครับ) และนำส้มตำไทยราดลงบนต้นอ่อนทานตะวันทอดกรอบก็เป็นอันเรียบร้อย

ส้มตำทานตะวันทอดกรอบ ราคาเพียง 50 บาท

3. เมนูแกงป่าปลาคัง

ทางร้านบอกว่าเมนูนี้เด็ดจัดจ้านมาก โดยมีเคล็ดลับคือพริกแกงทำเอง ใช้พริกแกง 2 ช้อน ได้แกงป่า 1 ถ้วย ทำการเคี่ยวจนเดือด และมีส่วนประกอบต่างๆใส่ลงไปคือ พริกไทยอ่อน พริกเหลือง ใบมะกรูด มะเขือ กระชายซอย และทำการปรุงรสชาติให้อร่อย จึงทำการใส่ปลาคังสดลงไป จากนั้นใส่ใบกระเพราลงไปเพื่อเพิ่มความเผ็ดร้อน แล้วจึงตักใส่ถ้วย จบพิธีครับ

แกงป่าปลาคัง เมนูอร่อยร้านครัวพญาควาย

4. เมนูผัดกะเพรากบทอดกรอบ

เมนูนี้ยอดนิยมของคนนิยมอาหารป่าเลยครับ โดยเริ่มจากการผัดเครื่องกะเพราก่อน และทำการใส่กบทอดกรอบลงไปผัดให้เข้ากัน และโรยหน้าด้วยใบกะเพราทอดกรอบ

กะเพรากบทอดกรอบ ครัวพญาควาย

5. เมนูไก่กรอบทอดตะไคร้

เมนูนี้เป็นเมนูง่าย โดยทำการปรุงรสไก่ และนำไปทอดให้สุกกรอบ และโรยด้วยใบมะกรูด ตะไคร้ และพริกไทยทอดกรอบโรยหน้าอีกครั้ง

ไก่กรอบทอดตะไคร้ ครัวพญาควาย

ความแปลกของร้านอาหารครัวพญาควาย

ทางร้านจะมีการสะสมเขาควายแปลกๆ เป็นจำนวนมาก โดยคุณต้อยได้เก็บสะสมมาเป็นเวลาหลายสิบปี ลงทุนหาซื้อมาจากทั่วประเทศ และได้ใช้เงินทุนไปราวๆ 2-3 ล้านบาท

เขาควายที่สะสมไว้ที่ร้านครัวพญาควาย

ใครที่ชอบความแปลก สามารถเข้าไปชมเขาควายแบบแปลกๆมากมายได้เลยนะครับ

รายการตลาดสดสนามเป้าพาไปชิมถึงที่แบบนี้ ต้องเป็นการการันตีแน่นอน ท่านใดมีโอกาสไปถึงวัดพระพุทธบาท สระบุรี กันแล้วอย่าพลาดนะครับ

คลิปย้อนหลังรายการตลาดสดสนามเป้า พาชิมอาหารที่ร้านครัวพญาควาย

และขอขอบคุณรายการตลาดสดสนามเป้า สำหรับรายการดีๆ

เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ